ช่วงฝนหนัก น้ำระบายไม่ทันคือเรื่องปกติของเมืองใหญ่ หลายครั้งเราจำเป็นต้องขับผ่านน้ำขังระดับตั้งแต่ “คลุมพื้นยาง” ไปจนถึง “แตะขอบล้อ” บทนี้สรุปวิธีตัดสินใจและวิธีขับแบบใช้งานจริง เพื่อให้รถ ไม่ดับ–ยางไม่เสียรูป–เบรกไม่ยาว และคุณกลับบ้านอย่างสบายใจ
1) ตัดสินใจก่อนลุย: ผ่านหรือเลี่ยง?
-
หลักง่าย ๆ: ถ้า ระดับน้ำสูงกว่ากึ่งกลางล้อ (ประมาณครึ่งเส้นผ่าศูนย์กลาง) ให้ เลี่ยง ทันที—แรงต้านสูง, เสี่ยงน้ำเข้าระบบ, และรถเล็ก/EV/รถเตี้ยยิ่งไม่ควร
-
ดูคลื่น (Bow wave) ของรถคันหน้า: ถ้าคลื่นปะทะกันชนจนน้ำกระเซ็นถึงฝากระโปรง = ลึกเกินที่จะผ่านต่อเนื่องอย่างปลอดภัย
-
สังเกตพื้น: ฝาท่อเหล็ก/ฝาปิดสายไฟ/หลุมยุบอาจ “ลอย” หรือเปิดอยู่ใต้น้ำ—ถ้าไม่แน่ใจแนวทาง, รอหรือย้อนเส้นปลอดภัยกว่า
2) ตั้งต้นก่อนลุย (30 วินาทีให้คุ้มที่สุด)
-
เลือกเกียร์คงที่: AT เลือก L/S/1-2, EV/ไฮบริดใช้โหมดที่แรงบิดออก “นุ่ม” และรอบคง (อย่าให้เปลี่ยนเกียร์กลางน้ำ)
-
ปิดคิ๊กดาวน์/โหมดสปอร์ต: ลดการกระชาก
-
ช่องดูดอากาศ/ท่อไอเสีย: รถส่วนใหญ่ปลอดภัยถ้าน้ำไม่ถึงกึ่งกลางล้อและคุณรักษาความเร็วต่ำคงที่ อย่าจมนิ่ง ๆ จนไอเสียต้านน้ำ
3) ความเร็ว–ไลน์–จังหวะ: สูตร 3 คง
-
คันเร่งคงที่: ประมาณ 1,500–2,000 rpm สำหรับรถน้ำมัน (หรือคันเร่ง 10–20% สำหรับ EV), อย่าเร่ง–ผ่อนเป็นคลื่น
-
ความเร็วคงที่ต่ำ: 5–15 กม./ชม. พอให้เกิดคลื่นนำหน้า (bow wave) เล็ก ๆ ที่ช่วยลดน้ำแถบเครื่อง แต่ไม่ใหญ่เกินจนย้อนเข้าห้องเครื่อง
-
เส้นทางคงที่: เลือกไลน์ “สูงกว่า” (กลางถนนมักต่ำกว่ารอยต่อ/ไหล่กลาง) อย่าเปลี่ยนเลนกลางน้ำ
ถ้าจำเป็นต้องหยุด (รถหน้าเบรก): รักษารอบเบา ๆ ไม่ให้ดับ และเว้นระยะเผื่อการเคลื่อนตัวต่อเนื่อง
4) หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้าย “ยาง–ล้อ–เบรก”
-
อย่ากระแทกหลุมใต้น้ำ: กะตำแหน่งจากเสา/ป้าย/ลอนคลื่นของคันหน้า ถ้าสงสัยให้ช้าลงเพิ่ม
-
อย่าหักพวงมาลัยแรง: น้ำให้แรงต้านสูง ยางจะรูดข้างและบิดแก้ม—เสี่ยงบาดขอบ/หลุดบีดในกรณีสุดขั้ว
-
อย่าเบรกหนักกลางน้ำ: ใช้การยกคันเร่งให้รถช้าลงแทน เบรกแรง = น้ำกั้นจาน–ผ้า + ระยะหยุดพุ่ง
5) ผ่านได้–ผ่านไม่ได้: สถานการณ์จริง
-
ซอยสั้นน้ำครึ่งยาง: เข้าเกียร์ต่ำ, คันเร่งคงที่, ห้ามหยุดกลาง “แอ่งลึกสุด” กลางซอย
-
ทางยาวน้ำลึกใกล้กึ่งล้อ: พิจารณาจุดกลับรถ/รอ; ถ้าจำเป็นต้องไปต่อ ให้ “ปล่อยคลื่นนำ” เล็ก ๆ และรักษาเพซคง
-
เจอรถสวนด้วยความเร็ว: ลดความเร็วทันทีเพื่อลดคลื่นกระแทก (คลื่นสวนกันทำให้ระดับน้ำรอบห้องเครื่องสูงชั่ววินาที)
6) พ้นน้ำแล้ว “เป่าเบรก–ไล่น้ำ” ให้จบ
-
บนถนนโล่งปลอดภัย แตะเบรกเบา ๆ ซ้ำ ๆ 3–5 ครั้ง ให้จานอุ่น–แห้ง
-
ถ้ามีพื้นที่ว่าง แกว่งพวงมาลัยน้อย ๆ ที่ 20–30 กม./ชม. เพื่อสลัดน้ำที่ดอกยาง (อย่าทำเร็ว/แรง)
7) เช็ก 2 นาทีหลังพ้นน้ำ
-
ฟังเสียง/ความสั่น ที่ 60–90 กม./ชม.: ถ้ามีเสียง “ติ๊ก ๆ” หรือสั่น อาจมีกรวด/เศษแก้วติดร่องดอก → ขับผ่านน้ำสะอาดหรือล้างซุ้มเบา ๆ
-
ไฟเตือน/กลิ่นไหม้: ถ้าไฟเบรค/ABS/แบตโชว์ หรือมีกลิ่นผิดปกติ ให้จอดปลอดภัยและตรวจ—หลีกเลี่ยงขับฝืนยาว
-
เช็กลมวันถัดไปตอนยางเย็น: ถ้าตก 2–3 PSI ขึ้นไป อาจโดนของมีคมใต้น้ำบาด → ปะด้านใน/คอมโบให้เรียบร้อย
8) EV/ไฮบริด: ข้อควรใส่ใจเพิ่ม
-
คู่มือก่อน: รถส่วนใหญ่มี “ระดับน้ำที่ไม่ควรลุย” ระบุไว้—ยึดตามนั้น
-
รีเจนฯ: ลดลง 1 สเต็ปกลางน้ำ เพื่อให้แรงฉุดที่ล้อขับไม่ฉับพลัน (ลดโอกาสสไลด์)
-
แรงบิดทันที: เปิดคันเร่ง “ก้าวหน้า” เท่านั้น อย่ากดพรวดตอนล้อยังจม
9) Q&A สั้น ๆ
Q: ลุยน้ำแล้วพวงมาลัยเบา/รถลอย ๆ คือเหินน้ำไหม?
A: ใช่—ยางลอยบนชั้นน้ำชั่วคราว ให้ ยกคันเร่งเบา ๆ, จับพวงมาลัยตรงไว้, อย่าหักหลบหรือเบรกแรง รอให้ยางกลับแตะพื้นแล้วค่อยควบคุมต่อ
Q: ควรลดลมเพื่อให้หนึบขึ้นตอนลุยน้ำไหม?
A: ไม่แนะนำ ลมน้อยทำให้หน้ายางแผ่—เสี่ยงเหินน้ำมากขึ้น เป้าคือ ตามสเปก + ซ้าย–ขวาเท่ากัน
Q: ลุยน้ำแล้วเบรกดัง/ยาวเป็นปกติไหม?
A: ชั่วคราวใช่ แตะเบรกไล่น้ำ 3–5 ครั้งมักหาย หากยังยาว/สั่น ให้ตรวจด่วน
10) เช็กลิสต์ “ลุยน้ำท่วมขัง” ✅
-
น้ำไม่ลึกเกิน “กึ่งกลางล้อ” → ผ่านได้แบบเพซต่ำคงที่
-
เกียร์ต่ำ/โหมดนุ่ม, ปิดสปอร์ต/คิ๊กดาวน์
-
คันเร่ง–ความเร็ว–ไลน์ คงที่ ไม่เปลี่ยนเลนกลางน้ำ
-
พ้นน้ำ → แตะเบรกไล่น้ำ, เช็กเสียง–สั่น
-
วันถัดไป → เช็กลมตอนยางเย็น, ตรวจหน้ายางหาเศษคม
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของ TOYO ได้ที่
🔎 ค้นหายางที่เหมาะกับรถคุณ: https://toyotires.in.th/products/1/list
🏪 รายชื่อศูนย์บริการทั่วประเทศ: https://toyotires.in.th/branches/list
🎉 โปรโมชั่นล่าสุด: https://toyotires.in.th/promotions/list
🗞️ ข่าวสารและกิจกรรม: https://toyotires.in.th/news/list