หลายคนเชื่อว่า “ฝนตกก็แค่ขับช้าลง” ก็พอแล้ว… แต่ความจริงคือ แม้ความเร็วไม่สูง ก็ยังเหินน้ำ (Hydroplaning) ได้ ถ้าเงื่อนไขตรงกัน เช่น น้ำขังลึก ลายดอกรีดน้ำไม่พอ หรือลมยางไม่เหมาะ บทความนี้สรุปให้เข้าใจเร็ว ว่าเหินน้ำเกิดยังไง ความเร็วเท่าไหร่ถึงเสี่ยง และต้องดูแลยางแบบไหนถึงลดความเสี่ยงได้จริง
เหินน้ำเกิดจากอะไร (ฉบับ 10 วินาที) ⚙️
-
เมื่อหน้ายาง “รีดน้ำออกไม่ทัน” จะเกิด ฟิล์มน้ำแทรกระหว่างยางกับถนน → หน้ายางลอยบางส่วน/ทั้งหมด
-
ปัจจัยร่วม: ความเร็ว, ความลึกของน้ำ, ลายดอก–จำนวนร่องหลัก, ไซป์, แรงดันลม, น้ำหนักบนล้อ, สภาพพื้นผิว
-
ผลลัพธ์: พวงมาลัยเบา–เลี้ยวไม่เข้า–เบรกไม่ยึด ชั่วขณะ
ขับช้าแล้วยังเหินน้ำได้ยังไง? 🤔
-
น้ำขังลึก + ร่องรีดน้ำไม่พอ: แม้ 60–80 กม./ชม. ก็เสี่ยง หากดอกใกล้ TWI หรือเป็นลายที่ไม่เน้นรีดน้ำ
-
ลมน้อยเกิน: หน้ายางบิดตัว เกิด “คลื่นน้ำ” หน้าแพด ทำให้ผลักน้ำออกยาก
-
ยางสึกเอียง/สึกลอน: ร่องทำงานไม่สมดุล พาน้ำออกไม่ต่อเนื่อง
-
ผิวถนนลื่นมัน (film จากฝนแรก): ต้องการแรงเสียดทานมากขึ้น แต่ดอก/ลมไม่เอื้อ → หลุดฟิล์มง่าย
สาระสำคัญ: “ช้า” ช่วยได้บางส่วน แต่ ถ้าดอก–ลม–ลายไม่พร้อม ก็ยังเหินน้ำอยู่ดี
เช็กเร็ว 5 ข้อ ก่อนลุยฝน 🌧️✅
-
ความลึกดอก > ขีด TWI ชัดเจน (ถ้าแตะแล้ว ให้เตรียมเปลี่ยน)
-
แรงดันลม “ตามสเปกรถ” (หรือ +1 psi ในฤดูฝน/ทางไกล) วัดตอนยางเย็นเท่านั้น
-
ร่องหลักตามยาว “สะอาด” ไม่มีกรวด/โคลนอุด
-
ศูนย์–ถ่วงล้อ ตรง (ไม่มีกินซ้าย–ขวา/สั่นช่วงความเร็วหนึ่ง)
-
ตั้งสติเรื่องยางหลัง: ยางหลังรีดน้ำแย่จะทำให้ ท้ายหลุดก่อน ง่าย
เทคนิคขับเวลาเจอน้ำขัง (ใช้ได้จริง) 🧭
-
อ่านผิวน้ำ: เลือกวิ่ง “ร่องแห้ง” ที่รถคันหน้ารีดไว้ (เว้นระยะเผื่อเบรก)
-
คุมคันเร่งเนียน ๆ: หลีกเลี่ยงกด–ปล่อยแรง ๆ ที่ทำให้น้ำหนักรถโยก
-
ห้ามล็อกพวงมาลัย: ถ้ารู้สึกเบา ให้คงทิศเบา ๆ รอให้ยาง “เจาะฟิล์ม” กลับ ไม่ส่ายหักสวนฉับพลัน
-
ลดความเร็วก่อนถึงน้ำ ไม่ใช่เบรกแรงขณะลุยน้ำ
-
เปิดไฟหน้า (ไม่ใช่ไฟฉุกเฉิน) ให้คันอื่นเห็นชัด
เลือกลายดอกให้เหมาะกับ “ฝนไทย” ยังไง? 🌊
-
มองหา ร่องหลักตามยาวหลายเส้น + ร่องขวางถี่พอดี เพื่อพาน้ำออกทั้งทางตรงและตอนเปลี่ยนเลน
-
จำนวนไซป์ (sipes) ที่พอดี: ช่วยตัดฟิล์มน้ำ แต่ไม่ทำให้บล็อกยวบเกินจนพวงมาลัยไม่คม
-
คอมปาวด์ที่ยึดเกาะอุณหภูมิเปียกดี: บ้านเราอุ่นชื้น คอมปาวด์สำหรับเขตร้อนช่วยได้จริง
-
สำหรับ EV/รถหนัก: เลือก Load Index ที่เหมาะ และโครงสร้างบล็อกนิ่ง เพื่อคุมฟอร์มบนเปียก
ลมยางฤดูฝน: ปรับแค่ไหนดี? 🎯
-
ตั้งตามสเปกเป็นฐาน แล้ว +1 psi ได้ในฤดูฝน/ทางไกล เพื่อรักษาหน้าสัมผัสให้ “นิ่ง” และพาน้ำออกสม่ำเสมอ
-
หลีกเลี่ยง ลมน้อย (บิดตัว–คลื่นน้ำมาก) และ ลมเกิน (หน้ายางนูน–สัมผัสแคบ)
-
เช็กทุก 2–4 สัปดาห์ และทุกครั้งก่อนทริปยาว
“ทำไมยางใหม่ยังลื่นฝน?” (ถามบ่อย) 💬
-
ยางใหม่ ต้องรันอิน ~300–500 กม. เพื่อให้ผิวหน้าหยาบขึ้นเล็กน้อยและบล็อกตั้งตัว (ดูบทความก่อนหน้า)
-
ช่วงนี้ เบรก–เลี้ยวนุ่ม ๆ และอย่าทดสอบโหดบนเปียกจนกว่าจะเข้าที่
สรุปจำง่าย 6 บรรทัด 🧠✨
-
ฝนตก ขับช้าอย่างเดียวไม่พอ: ลม–ดอก–ศูนย์ ต้องพร้อม
-
ดอกลึกเหนือ TWI + ร่องสะอาด + ลมตามสเปก/ +1 psi = ลดโอกาสเหินน้ำ
-
ระวัง ยางหลัง เป็นพิเศษ: ท้ายไหล = คุมยากกว่า
-
เข้า–ออกแอ่งน้ำด้วย ความเร็วที่ลดลงก่อนถึง ไม่เบรกแรงขณะลุย
-
พวงมาลัยเบา/ลอย = คงทิศเบา ๆ รอหน้ายางเจาะฟิล์มน้ำ
-
EV/รถหนัก เลือก โครงสร้าง–Load Index ให้เหมาะ และดูแลลมถี่ขึ้น
อยากให้ผมทำ อินโฟกราฟิก “สูตรกันเหินน้ำ 1 ภาพจบ” ไหมครับ? จัดเลย์เอาต์แนวโพสต์สี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้บน Facebook/IG ได้ทันที 📐
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของ TOYO ได้ที่
🔎 ค้นหายางที่เหมาะกับรถคุณ: https://toyotires.in.th/products/1/list
🏪 รายชื่อศูนย์บริการทั่วประเทศ: https://toyotires.in.th/branches/list
🎉 โปรโมชั่นล่าสุด: https://toyotires.in.th/promotions/list
🗞️ ข่าวสารและกิจกรรม: https://toyotires.in.th/news/list

