คนใช้รถในไทยเจอฝนแทบทั้งปี โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนที่ถนนลื่น รถติด และมีน้ำขังตามพื้นถนนหลายจุด หลายคนอาจคิดว่าการขับช้า ๆ ในวันที่ฝนตกไม่น่าจะทำให้ยางรถยนต์สึกมากนัก แต่ความจริงแล้ว “การขับรถตอนฝนตก” เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ดอกยางสึกเร็วขึ้นโดยที่ผู้ขับไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? วันนี้มาดูคำตอบแบบเข้าใจง่าย ชัดเจน และนำไปใช้ได้จริงครับ
1) พื้นถนนลื่น = ระบบยึดเกาะทำงานหนักกว่าปกติทุกวินาที 🌧️🛞
ตอนฝนตก ถนนจะมีฟิล์มน้ำบาง ๆ เคลือบผิว ทำให้ยางต้อง “บีบ ไล่ และรีดน้ำ” ตลอดเวลาเพื่อรักษาการยึดเกาะ ดังนั้นดอกยางจึงไม่ได้นิ่งเฉยเหมือนวันที่พื้นถนนแห้ง แต่ต้องทำงานหนักขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงความเร็วต่ำ–ปานกลางที่เจอกันบ่อยในเมือง
พอดอกยางทำงานหนักขึ้น → อุณหภูมิเพิ่ม → การสึกหรอเกิดเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
แม้จะไม่ได้ขับเร็ว แต่ฟังก์ชันของดอกยางก็ทำงานอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ยางสึกในอัตราที่เร็วขึ้นกว่าปกติครับ
2) การเร่ง–เบรกบ่อยขึ้น เพื่อหลบแอ่งน้ำและรถคันหน้า 🛑🏁
สภาพการขับขี่ตอนฝนตกมักมีเหตุการณ์ที่ต้องเบรกกะทันหัน เช่น
-
รถคันหน้าชะลอเมื่อเจอแอ่งน้ำ
-
ต้องเลี่ยงพื้นลื่น
-
ต้องเพิ่มความระวังในการเร่งเครื่อง
พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ “แรงเฉือน” ที่เกิดกับดอกยางสูงกว่าเวลาอากาศแห้ง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการสึกแบบไม่เท่ากัน โดยเฉพาะบริเวณไหล่ยาง (Shoulder Block) และช่วงดอกยางกลางเส้น
ยิ่งถนนลื่นเท่าไหร่ → ยิ่งต้องเบรกและออกตัวบ่อยขึ้น → สึกเร็วแบบไม่รู้ตัวจริง ๆ
3) ลมยางมักลดลงในวันที่อากาศเย็น ทำให้ดอกยางสึกด้านข้าง 🌀
อุณหภูมิที่ลดลงเวลาฝนตกทำให้ลมยางลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉลี่ย 1–2 psi โดยที่ผู้ขับไม่รู้ตัว การขับรถตอนลมยางอ่อนจะทำให้
-
ยางบี้มากขึ้น
-
หน้ายางสัมผัสพื้นมากขึ้น
-
น้ำหนักกดไปที่ขอบยางมากกว่าปกติ
ผลลัพธ์คือ ยางสึกด้านข้างเร็วผิดปกติ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาที่ช่างเจอบ่อยช่วงหน้าฝน
ยิ่งรถติดบนพื้นเปียกนานเท่าไหร่ ความร้อนสะสมที่ขอบยางยิ่งเพิ่ม → ยิ่งสึกไวครับ
4) น้ำขังดึงแรงหมุนของล้อ ทำให้ยางทำงานหนักกว่าปกติ 💦
เวลายางลุยน้ำขัง ล้อนอกจากจะหมุนไปข้างหน้าแล้ว ยังต้อง “ตัดน้ำ” ตลอดการเคลื่อนที่อีกด้วย พอแรงต้านเพิ่มขึ้น เครื่องยนต์จะเร่งรอบเพื่อรักษาความเร็ว ทำให้เกิดแรงดึงที่ยางมากขึ้น นั่นหมายถึง
-
ยางร้อนกว่าเดิม
-
เนื้อยางถูกยืด–ขยายซ้ำ ๆ
-
ทำให้สึกเร็วขึ้นโดยธรรมชาติ
นักขับจำนวนมากมักไม่รู้ว่าการขับผ่านแอ่งน้ำเล็ก ๆ ซ้ำ ๆ คือหนึ่งในตัวเร่งการเสื่อมของยางรถยนต์เลยทีเดียว
5) หากยางเสื่อม + ถนนลื่น = อันตรายทวีคูณ ⚠️
ดอกยางที่สึกจากการใช้รถตอนฝนตก ไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องอายุยาง แต่ยังเกี่ยวกับ “ความปลอดภัย” โดยตรง เช่น
-
เพิ่มโอกาส เหินน้ำ (Hydroplaning)
-
เพิ่มระยะเบรกบนพื้นเปียก
-
ลดการควบคุมพวงมาลัยตอนเข้าโค้ง
-
เกิดอาการท้ายปัดง่ายขึ้น
ดังนั้น ผู้ขับที่ใช้รถในเมืองหรือขับบ่อยช่วงหน้าฝน ควรใส่ใจสภาพยางมากกว่าปกติ เพราะดอกยางที่สึกเพียงเล็กน้อยบนถนนแห้งอาจไม่รู้สึก แต่บนถนนเปียกอาจ “จับถนนไม่อยู่” แบบทันทีทันใดครับ
6) ถ้าอยากลดการสึกของยางเวลาฝนตก ควรทำอย่างไร? 🌧️🛠️
✔ ตรวจลมยางทุก 2–3 สัปดาห์
โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน เพราะลมลดเร็วมาก
✔ ใช้ความเร็วคงที่ ลดการเร่ง–เบรกซ้ำ ๆ
ช่วยลดแรงเฉือนกับดอกยางได้มาก
✔ เลี่ยงขับลุยน้ำขังเป็นประจำ
ไม่ใช่แค่ป้องกันยางสึก แต่ช่วยถนอมช่วงล่างด้วย
✔ ตั้งศูนย์–ถ่วงล้อเป็นระยะ
ช่วยลดการสึกแบบไม่เท่ากันโดยเฉพาะในช่วงใช้ถนนเปียกบ่อย
✔ เลือกยางที่รีดน้ำได้ดีและเหมาะกับพื้นเปียก
ยาง TOYO หลายรุ่น เช่น กลุ่ม Touring, Comfort และ Sport ถูกออกแบบให้มีร่องรีดน้ำลึก ตัวดอกยางแข็งแรง ช่วยลดโอกาสเหินน้ำ และเสริมการยึดเกาะบนถนนลื่นได้ดี ทำให้การสึกของยางเกิดช้าลงแม้ต้องขับบ่อยในช่วงฝนตก
สรุป: ฝนตก = ดอกยางทำงานหนักกว่าที่คิด 🌧️📌
การขับรถตอนฝนตก ไม่ได้มีผลแค่เรื่องทัศนวิสัยหรือถนนลื่น แต่ยังทำให้ “ดอกยางสึกเร็วขึ้น” จากหลายสาเหตุรวมกัน ตั้งแต่การรีดน้ำ การเบรกบ่อย ลมยางลด ไปจนถึงแรงต้านจากแอ่งน้ำ เพราะฉะนั้นการดูแลยางให้พร้อมเสมอ และเลือกยางที่ออกแบบมาเพื่อรับมือพื้นเปียกโดยเฉพาะ จะช่วยให้ขับขี่ปลอดภัยกว่ามากครับ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของ TOYO ได้ที่
🔎 ค้นหายางที่เหมาะกับรถคุณ: https://toyotires.in.th/products/1/list
🏪 รายชื่อศูนย์บริการทั่วประเทศ: https://toyotires.in.th/branches/list
🎉 โปรโมชั่นล่าสุด: https://toyotires.in.th/promotions/list
🗞️ ข่าวสารและกิจกรรม: https://toyotires.in.th/news/list

